ความรู้เกี่ยวกับงานบัญชี

พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543

กฎหมายว่าด้วยการบัญชีฉบับปัจจุบัน คือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ได้ใช้ บังคับมาตั้งแต่ปี 2515 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 27 ปี จึงมีหลักการเกี่ยวกับการทำบัญชีหลายประการ ที่ยังไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางการบัญชีและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการค้า ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งเพื่อให้มีการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้เป็นไปตามความเป็นจริงได้มาตรฐาน การบัญชี และสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ซึ่งจะทำให้กิจการและบุคคลภายนอกได้ใช้ข้อมูลทางการ บัญชีเพื่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการ บัญชีมาเป็นลำดับนับแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันกฎหมายดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบของ รัฐสภาแล้ว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 และนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2543 ซึ่งจะมีผลบังคับใชตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไป สรุปการดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้ ดังนี้

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2535 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ การบัญชี พ.ศ. .... และให้ส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาพิจารณา แต่โดยที่สภาฯ ได้สิ้นอายุ ลง ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงตกไป

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2537 เห็นชอบตามมติของคณะกรรมการ รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจซึ่งเห็นควรรับหลักการร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... และส่งให้สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติสภานักบัญชี พ.ศ. .... ในคราวประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2540 กระทรวงพาณิชย์ได้ขอถอนเรื่องนี้กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยได้จัดให้มีการประชุมชี้แจง และรับฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 เพื่อประกอบการพิจารณา เสนอแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2540 อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรอง ฝ่ายเศรษฐกิจเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... ที่กระทรวงพาณิชย์แก้ไขเพิ่มเติม และส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว โดยได้ปรับปรุง แก้ไขถ้อยคำใหม่เล็กน้อย และกระทรวงพาณิชย์ได้ยืนยันให้นำเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2541 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอและให้ส่ง คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541 รับทราบมติของคณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อ พิจารณา โดยก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎรให้แก้ไขมาตรา 5 วรรคสอง และเพิ่มมาตรา 27

สาระสำคัญของกฎหมาย

1. แก้ไขหลักการจากเดิมที่กำหนดให้ธุรกิจทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจ ตามประเภทที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดต้องจัดทำบัญชี เป็นกำหนดให้เฉพาะนิติบุคคลทั้งที่จดทะเบียน ตามกฎหมายไทยและต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยและกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ส่วนบุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียนจะต้องจัดทำบัญชีต่อเมื่อรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี

2. กำหนดให้ผู้ทำบัญชีต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการจัดทำบัญชีของธุรกิจโดยแบ่งแยก หน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างผู้ทำบัญชีและผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีให้ชัดเจน กล่าวคือ

2.1 กำหนดความรับผิดชอบของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ในการจัดให้มีการทำบัญชีและงบการเงินให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด และมี หน้าที่ต้องจัดส่งเอกสารประกอบการลงบัญชีให้ผู้ทำบัญชีเพื่อจัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และตามมาตรฐานการบัญชีและยื่นงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบและให้ความเห็นของผู้สอบบัญชี รับอนุญาตแล้ว รวมทั้ง จัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศกำหนด

2.2 ผู้ทำบัญชี (หมายถึงผู้รับผิดชอบในการทำบัญชีของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีไม่ว่าจะได้ กระทำในฐานะเป็นลูกจ้างของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือไม่ ซึ่งได้แก่พนักงานบัญชีของบริษัท หรือ ผู้รับจ้างทำบัญชีอิสระหรือสำนักงานรับทำบัญชี) ต้องจัดทำบัญชีให้เป็นไปตามความจริงตามมาตรฐาน การบัญชี โดยมีเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนรายการให้ถูกต้องครบถ้วน

3. กำหนดให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชรวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้มี หน้าที่จัดทำบัญชี หรือผู้ทำบัญชีไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง

4. กำหนดยกเว้นให้งบการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีที่เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ที่มี ทุน สินทรัพย์หรือรายได้ ไม่เกินที่กำหนดในกฎกระทรวงไม่ต้องได้รับตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชี

5. ลดภาระของธุรกิจในการจัดเก็บบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีจาก 10 ปี เหลือ 5 ปีและในกรณีจำเป็น อธิบดีโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ขยายระยะเวลาจัดเก็บได้แต่ต้องไม่เกิน 7 ปี

6. ปรับปรุงข้อกำหนดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับระบบการจัดทำบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น การเก็บรักษาบัญชีการลง รายการในบัญชี เป็นต้น

7. ปรับปรุงบทกำหนดโทษให้เหมาะสม ครอบคลุมถึงผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ผู้ทำบัญชี และ ผู้ที่เกี่ยวข้องและให้ อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้สำหรับความผิดที่มี โทษปรับเพียงอย่างเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน เพื่อลดขั้นตอนปฏิบัติและสะดวกต่อ ผู้ประกอบธุรกิจ

8. กำหนดบทเฉพาะกาล ยกเว้นให้ผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นผู้ทำบัญชีอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดี กำหนด สามารถประกอบอาชีพ

ผู้ทำบัญชี ที่จะขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชีต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(1) มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
(2) มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำบัญชีเป็นภาษาไทยได้
(3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(4) มีวุฒิการศึกษาเช่นเดียวกับวุฒิการศึกษาของผู้ทําบัญชีตามประกาศของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี
(5) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับวิชาชีพบัญชี (ฉบับที่6) เรื่อง ผู้ทำบัญชีพ.ศ. 2547 ดังนี้

5.1 ผู้ขอขึ้นทะเบียนที่เคยได้รับโทษหรือเคยถูกลงโทษจรรยาบรรณ ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
5.2 ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีที่ไม่มีสัญชาติไทย ต้องมีความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการบัญชี และกฎหมายภาษีอากรของไทย เพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้

ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชี

อัตราค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีรายปีเป็นอัตราตามปีปฏิทิน (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมของทุกปี) คือ ปีละ 500 บาท สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และปีละ 300 บาท สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี